วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561

การฟักไข่ของงู

การฟักไข่ของงู
การฟักไข่งูจงอางในธรรมชาตินั้น พิสดารไปกว่างูชนิดอื่น คือแม่งูจะวางไข่ในรังที่ทำขึ้นจากกองดินและเศษใบไม้ และวางไข่เป็นชั้นๆ โดยแม่งูเฝ้าไข่อยู่ชั้นบนสุดของโพรงหลุมนั้น จากการบุกป่าฝ่าดง มักจะพบว่ากอไผ่ใกล้ริมน้ำเป็นจุดที่น่าสนใจในการค้นหาหลุมไข่ของพวกเขา แล้วงูชนิดอื่นๆ เป็นอย่างไร งูหลายชนิดก็วางไข่ในโพรงเช่นกัน ซึ่งมัความอับชื้นสูง แต่ก็มีบางชนิดกกไข่ด้วยตัวเอง อย่างเช่นกลุ่มไพธอน หรือบัว พวกนี้จะคอยหดรัดกล้ามเนื้อเพื่อสร้างอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับเจ้าตัวน้อยในไข่ แต่อัตราการฟักในธรรมชาติน้อยเหลือเกิน
พวกเขาเอาไข่มาฟักโดยการเลียนแบบธรรมชาติ พยายามเข้าใจสรีระของมัน แล้วอะไรที่เราควรจะเข้าใจบ้าง
    ไข่ของสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมด เมื่อวางลงบนพื้น ตัวอ่อนจะถูกดันให้มาอยู่ในตำแหน่งบนสุดของเปลือกไข่ และเริ่มแบ่งตัวที่บริเวณนั้น หากไข่พลิกคว่ำจะทำให้ไข่แดงที่อยู่ข้างล่างพลิกขึ้นมากดทับ และตัวอ่อนจะตายได้
    เปลือกไข่มีช่องระบายอากาศเล็กๆ ทำให้มีการแลกเปลี่ยนอากาศและความชื้นกับภายนอกได้ เปลือกของไข่งู กิ้งก่าเกือบทุกชนิดจะเป็นเปลือกหนัง นิ่ม ขณะที่เต่า กิ้งก่า และงูอีกหลายชนิดมีเปลือกแข็งเหมือนเปลือกไข่ไก่
อะไรคือสิ่งสำคัญในการฟักไข่งู และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด
  •  อุณหภูมิ
  •  ความชื้น
  •  ความสะอาด
    เราจะไม่ขอกล่าวให้แน่ชัดลงไปว่าอุณหภูมิเท่าไรที่เหมาะสม เพราะแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 28-32 C หากสูงกว่านี้ตัวอ่อนมักจะตาย โดยปกติงูป่าจึงมักจะผสมพันธุ์ในช่วงมีนาคม ถึงเมษายน และไปวางไข่ในช่วงฤดูฝนในที่สูงพ้นน้ำท่วม และเราเชื่อกันไหมว่างูตัวเมียสามารถเก็บอสุจิของตัวผู้ไว้ข้ามปี และหลายปีภายในท่อที่เรียกว่า “เซมินัล รีเซบตาเคิล” และวางไข่มีเชื้อได้ทุกปี
    ในการฟักไข่ที่เหมาะ จึงวางแผนการผสมพันธุ์เพื่อให้ออกไข่ตามฤดูกาล แต่หากทำไม่ได้ เราต้องทำการควบคุมมันเอง โดยเก็บไข่ไว้ในที่มิดชิด ลดผลกระทบกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ในการศึกษาของพวกเขา จึงเก็บไข่ไว้ในตู้ฟักไข่ดัดแปลง ปรับอุณหภูมิให้คงที่ ที่ระดับ 30 องศาเซนเซียส
หากเราไม่มีตู้ฟักไข่ เราทำได้อย่างไร…
    โดยการเลี้ยงในกะบะที่ถูกปิดมิดชิด หรือกล่องพลาสติกเจาะรูระบายอากาศ (ไม่ควรกว้าง เพราะงูลอดได้) มีตะแกรงคร่อมอยู่บนน้ำที่หล่อเลี้ยงอยู่เสมอ วางไข่บนพื้นตะแกรงโดยตรง จะให้ดีให้หาผ้าสะอาดวางรองก่อน ใช้สำลีหรือผ้านุ่มสะอาดวางลองลงไปอีกครั้ง ค่อยๆ วางไข่ที่สะอาด โดยการทำความสะอาดไข่แต่ละฟองด้วยสารละลายเบนซัลโครเนียมคลอไรด์เจือจาง ในกรณีที่ไข่สกปรกมาก หรือเก็บจากป่ามาเพาะอย่างในโครงการที่ได้ทำ เพื่อลดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราบางส่วน เช็ดทำความสะอาดไข่ แต่โดยทั่วไปไข่ที่วางในกล่อง ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างที่ได้กล่าวไป แล้วค่อยบรรจงวางในตำแหน่งเดียวกันที่ได้มาจากรังแม่ พยายามอย่าพลิกไข่ (แต่หลังวางไข่ไม่เกิน 2 วัน โดยประมาณไม่เป็นไร ตัวอ่อนยังไม่ติด) หลังจากนั้นใช้สำลีวางทับอีกครั้ง หลายชั้น โดยชั้นบนจะพรมด้วยน้ำจนเปียก หลายคนอ่านมาจนถึงตรงนี้ คงอยากจะร้องชัก เพราะกลัวเชื้อรากันน่าดู
    เพราะสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การปรับอุณหภูมิเลย คือความชื้น ไข่งูต้องการความชื้นสูงมาก ตั้งแต่ 80-100% ทีเดียว การพรมน้ำอยู่เสมอจะช่วยให้ไข่สมบูรณ์ และระยะเวลาฟักออกจากไข่เหมาะสม โดยมีถุงแดงติดค้างอยู่ในลูกงูน้อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังฟัก การให้ความชื้นและการปรับอุณหภูมิให้ต่ำลง จะช่วยยืดระยะเวลาออกไป หากอากาศร้อนและแห้งน้ำ ไข่จะฟักเร็ว และไม่สมบูรณ์ (หลายคนคงหายสงสัยแล้วว่า ทำไมไข่งูของบางท่านฟักเร็ว บางท่านฟักช้า)
การพบว่ามีสีดำติดเปลือกไข่ เกิดได้สองกรณีคือเชื้อรา และเปลือกไข่ที่หนาขึ้นตามระยะเวลา แต่กลไกของเปลือกช่วยป้องกันและยับยั้งเชื้อราได้อย่างน่าทึ่ง หากเราทำความสะอาดได้ดีตั้งแต่เริ่มต้น จะมีจุดดำหรือน้ำตาลบ้างอย่าได้กังวลใจ
    เราเอากล่องกะบะวางไข่ ไปไว้ในตู้ หรือกล่องที่ใหญ่กว่าอีกที เพื่อควบคุมสิ่งแวดล้อมที่เล็กลง เรียกว่า ทำให้เกิดไมโครเอนไวรอนเมนท์ สิ่งแวดล้อมเล็กๆ ที่สามารถควบคุมได้ง่าย หลายที่ทำโดยไม่มีน้ำหล่อ แต่เพาะในหลุม โดยการนำกล่องไปฝังลงกับดินลึกพอประมาณ ไม่กลบดิน แต่ปิดด้วยฝาตามปกติ ภายในห้องที่มีความชื้นสูง แสงส่องน้อย อย่างนี้ทำกันเป็นฟาร์ม ติดเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ และตัววัดความชื้นเอาไว้ เมื่อพบว่าอุณหภูมิสูง ให้พ่นน้ำช่วย และเปิดพัดลมรอบๆ นอกให้เย็นลง ไม่นานเกินรอ งูตัวน้อยก็จะทยอยฟักออกมา
วิธีสังเกตว่าไข่ตายหรือยัง… ไข่ที่ดีต้องแข็งตึง บวมเป่ง ผิวสะอาด ในระยะแรกหลังจากแม่วางไข่ เปลือกจะยังบาง ควรจะพบสีแดงเรื่ออยู่ (การส่องไข่แบบไข่ไก่ทำได้ระยะแรก แต่จะเห็นเพียงการสร้างเส้นเลือดรอบๆ) ระยะต่อมา จะมองเห็นคราบสีขาวเกาะอยู่ภายในเปลือกไข่ด้านบน คือมีการพัฒนาของตัวอ่อนแล้ว
ไข่ที่เริ่มมีปัญหาคือไข่เริ่มฝ่อ ผิวหยาบไม่เต่งตึง หากผู้ฟักไข่ ทำการหล่อเลี้ยงความชื้นให้เหมาะสม เมื่อพบว่าไข่เริ่มเหี่ยว พ่นน้ำช่วย ตรวจดูอุณหภูมิว่าไม่สูงเกินไป ไข่ที่ฝ่อก็จะกลับมาคืน และฟักเป็นตัวอย่างแน่นอน   http://www.kwuncumpet.com
https://www.youtube.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น